ตกขาวผิดปกติกับการติดเชื้อในช่องคลอด?
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีการติดเชื้อในช่องคลอด มักแสดงอาการผ่านทางลักษณะของตกขาว อาการคัน และกลิ่น โดย 3 โรคหลักที่เกี่ยวข้องกับตกขาวผิดปกติ ได้แก่

ลักษณะการติดเชื้อ
อาการ
การรักษา
การติดเชื้อราในช่องคลอด (VULVOVAGINAL CANDIDIASIS)
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ CANDIDA ALBICANS แต่บางรายอาจเกิดจากเชื้อราชนิดอื่นได้
ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด ได้แก่ โรคเบาหวาน การใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานาน การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภายนอก (เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด ภาวะตั้งครรภ์) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น การติดเชื้อเอชไอวี การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน)
ตกขาวมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก มักมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อตรวจภายในอาจพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด
ให้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีทั้งรูปแบบยาครีม ยาเหน็บช่องคลอด และยารับประทาน เช่น Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Fluconazole
การติดเชื้อแบคทีเรีย (BACTERIAL VAGINOSIS)
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนจนมากกว่าเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้น
มักสัมพันธ์กับการมีคู่นอนหลายคน การสวนล้างช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการขาดแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด
ส่วนมากจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวมีสีเทา มีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา มีอาการคัน อาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย ส่วนอาการอักเสบในช่องคลอดหรือแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอดพบได้น้อย
ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole, Clindamycin
ควรงดกิจกรรมทางเพศระหว่างการรักษา
การติดเชื้อทริโคโมแนส (TRICHOMONIASIS)
เกิดจากเชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS (TV) ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
ตกขาวมีสีเขียวเป็นฟองและมีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีอาการแสบร้อนและคันบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีการอับเสบ บวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด มีจุดเลือดออกบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกที่มีลักษณะจำเพาะเรียกว่า Strawberry cervix
ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole
ให้การรักษาคู่นอนร่วมด้วย

เมื่อไหร่จึงควรไปพบแพทย์?
ผู้หญิงเราควรไปพบแพทย์เมื่อตกขาวมีลักษณะ สี หรือกลิ่น ผิดไปจากปกติ หรือมีอาการทางช่องคลอด เช่นมีลักษณะแดง คัน เจ็บ แสบร้อน หรือระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศหรือช่องคลอด
ตกขาวมีลักษณะเป็นฟอง หรือมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก
ตกขาวมีสีเหลือง เขียว หรือเทา
มีเลือดหรือเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
มีกลิ่นรุนแรง

โดยทั่วไปการติดเชื้อหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงอาจมีผลทำให้ตกขาวผิดปกติได้ ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษา ดังนั้น ผู้ที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของตกขาวหรืออาการอื่นๆ ที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป

ขอขอบคุณที่มา https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/june-2020/leukorrhea

อาการแสบคันจากตกขาว เสี่ยงเกิด “เชื้อราในช่องคลอด”

ตกขาวเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงเราก็จริงอยู่ แต่หากตกขาวทำให้คุณต้องทุกข์กาย รำคาญใจจากอาการแสบๆ คันๆ พ่วงด้วยปริมาณที่มากกว่าปกติ ยิ่งหากมีสีและกลิ่นที่แปลกไปจากเดิม พาลให้เราต้องสูญเสียความมั่นใจ และบุคลิกภาพที่ดีไป อย่างไรก็ตาม หากเกิดสิ่งผิดปกติดังกล่าว ให้พึงตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่า คุณอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เกิดเชื้อราในช่องคลอดเข้าแล้ว

สำหรับคนที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยของโรคนี้ ก็ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะเชื้อราในช่องคลอด ไม่ใช่โรคร้ายแรง ไม่มีความรุนแรงจนทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นอันตรายต่อรังไข่ โพรงมดลูก หรืออุ้งเชิงกรานแต่อย่างใด อีกทั้งยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ จะมีบางส่วนประมาณ 5-8% เท่านั้นที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก อาจเป็นเพราะการดื้อยา หรือการที่ยังใส่ชุดชั้นในที่มีเชื้อรา หรือใส่ชุดรัดๆ ฟิตๆ อยู่

ในปัจจุบันจากสถิติ พบว่า ผู้หญิงไทย 1 ใน 10 คน เกิดอาการตกขาวดังกล่าว และคนที่มีโอกาสเป็นมาก คือ คนที่รักษาความสะอาดมากที่สุด (พอๆ กับคนที่สกปรกที่สุด)

ลักษณะตกขาว โดยทั่วไปที่เป็นปกติ

ตกขาวที่ปกตินั้นจะมีลักษณะเป็นเมือกขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น หรืออาจจะมีกลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่สำคัญคือ ต้องไม่เหม็น แสบ หรือคัน
ตกขาวที่เกิดจากเชื้อราในช่องคลอด จะมีสีขาวหรือเหลืองและเป็นก้อนคล้ายนมบูด มีกลิ่นเหม็นอับ ปัสสาวะแสบขัด โดยช่องคลอดจะเกิดการระคายเคืองจนทำให้คันยิบๆ จนแทบทนไม่ได้ ซึ่งในคนที่มีอาการรุนแรงมากจะคันมาถึงบริเวณขาหนีบและมีอาการแสบ แดง แต่ถ้าตกขาวมีสีเขียวปนเหลือง เป็นฟองมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ และมีอาการคันร่วมด้วยล่ะก็ให้นึกถึงโรคพยาธิในช่องคลอด

สาเหตุต่างๆ ของการเกิดเชื้อราในช่องคลอด
เกิดจากความอับชื้น ถ้ายิ่งรัด ยิ่งอับ เชื้อราจะมาได้ง่าย แต่ถ้าสะอาดเกินไป ล้างทุกครั้งใช้น้ำยาทำความสะอาดตลอด เชื้อโรคดีดีในช่องคลอดของเราก็จะถูกทำลาย ทีนี้ไม่มีอาวุธต่อสู้กับเชื้อรา ก็มีโอกาสเป็นได้เหมือนกัน
การใส่แผ่นอนามัย โดยไม่เปลี่ยนระหว่างวันหรือใส่เป็นเวลานานๆ เพราะแผ่นอนามัยจะทำให้ยิ่งเกิดความอับชื้นเป็นทวีคูณ ซึ่งข้อนี้คุณหมอแนะนำว่า หากไม่ได้อยู่ในช่วงที่มีรอบเดือนไม่ควรใส่แผ่นอนามัยจะดีกว่า
รู้มั้ยว่ายาปฏิชีวนะนี่แหละตัวดี บางคนเป็นหวัดเรื้อรัง หรือเป็นสิว ต้องกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวยาจะไปทำลายเจ้าเชื้อแบคทีเรีย “แลตโตบาซีลัส” ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด ทีนี้จึงเป็นโอกาสให้เชื้อราเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องคลอด ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ตามมาได้ ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
อีกสาเหตุที่หลายคนกังวัลใจอยู่ โรคนี้มักไม่ได้เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ใครบ้างที่มีโอกาสเกิด เชื้อราในช่องคลอด

พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 10-30% เนื่องจากปัสสาวะบ่อย ทำให้เกิดความอับชื้น รวมถึงระดับฮอร์โมนที่สูงมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งนี้อยู่ในวินิจฉัยของแพทย์
ผู้หญิงปกติ ในวัยเจริญภัณฑ์ขึ้นไป พบได้ประมาณ 10% และยังพบว่าคนที่ไม่มีอาการใดๆ เมื่อตรวจภายในบางรายก็พบว่ามีเชื้อราในช่องคลอดแอบแฝงตัวอยู่ ซึ่งมีทั้งเชื้อราที่ไม่แสดงอาการ (ส่วนใหญ่ 80-90% เป็นสายพันธุ์ Candida albicans) และแบบที่แสดงอาการอย่างชัดเจน

สิ่งที่ควรทำเมื่อสงสัยว่าจะเกิด เชื้อราในช่องคลอด ขึ้นกับตัวเอง

เบื้องต้นแนะนำว่าให้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวให้มากๆ เข้าไว้ “แลคโตบาซิลลัส” ช่วยคุณได้
พักผ่อนให้พอ ไม่เครียด ทำร่างกายให้แข็งแรง จะได้มีภูมิต้านทานอยู่เสมอ
ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งก็พอ
ใส่ชั้นในเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เวลาซักทำความสะอาดแล้ว ควรตากในที่แดดส่องถึง
สำหรับคนที่เริ่มมีอาการของโรคช่องคลอดติดเชื้อรา ควรเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่ทั้งหมด หรือควรต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที แล้วตากแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้ใหม่
อาการของโรคสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยารับประทาน และยาสอดหรือยาเหน็บ แต่วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการไปพบแพทย์ด้วยตัวเอง ไม่แนะนำให้ซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจจะไม่ตรงกับโรค ทำให้อาการที่เป็นอยู่อาจยิ่งลุกลามและรุนแรงขึ้นอีกได้

ที่สำคัญเมื่อเกิดอาการแล้วก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามเกิดการอักเสบ เป็นฝีที่ปีกมดลูกต้องผ่าตัด จนถึงขั้นต้องตัดมดลูก หรือปีกมดลูกทิ้งไปเลย ดังนั้นหากพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับการตกขาวต้องรีบรักษา หรือพบแพทย์โดยด่วนค่ะ